การปฏิรูปวิทยาศาสตร์ศึกษาในประเทศอังกฤษ
1. วิสัยทัศน์ผู้นำ ประเทศ กฎหมายนโยบายเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ศึกษา
นายกรัฐมนตรีTony Blair ของอังกฤษ
ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของรัฐบาลในการให้ความสำคัญต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศโดยเน้นว่าความแข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์คือ รากฐานสำคัญของสหราชอาณาจักร
ปรัชญาในการจัดการศึกษาของรัฐบาลอังกฤษ
สรุปได้ดังนี้
1.เด็กทุกคนต้องได้รับความรู้พื้นฐานในการอ่านออกเขียนได้และเน้นความรู้พื้นฐานทางเลขคณิต
2.โรงเรียนทุกแห่งต้องมีการพัฒนาการศึกษา โดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้ตรวจสอบและให้การสนับสนุนแก่โรงเรียน
3.เด็กทุกคนมีความแตกต่างในการเรียนรู้และความสามารถ
4.คุณภาพการสอนเป็นสิ่งสำคัญ
คุณภาพอาจเกิดขึ้นได้ด้วยการสร้างแรงกดดันโดยการตรวจสอบและการให้การสนับสนุนจะช่วยทำ
ให้การสอนมีการพัฒนาที่ดี
5.ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมและมีอิทธิพลต่อการศึกษาของเด็ก
6.การร่วมมือระหว่างชุมชนและโรงเรียนทำให้โรงเรียนสามารถพัฒนาไปถึงจุดมุ่งหมายที่มีมาตรฐานได้
การกำหนดนโยบายการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์
อยู่ในความรับผิดชอบของแผนการศึกษาและการจ้างงาน(Department of
Education and Employment : DfEE) และมีองค์กรร่วมเสนอความคิดเห็นในการกำหนดนโยบายได้แก่
ราชสมาคม (Royal Society) นโยบายกำหนดให้นักเรียนอายุตั้งแต่
16 ปี ลงไปได้เรียนวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยาตลอดจนวิชาที่มีลักษณะเป็นสหวิชา(interdisciplinary) และยังได้ร่วมกับองค์กรทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์รวม 9 องค์กร
สนับสนุนนโยบายให้นักเรียนอายุ14-16 ปี ได้ศึกษาวิชาทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลาร้อยละ
20 หรือ 1 ใน 5 ของเวลาเรียนทั้งหมดในตารางเรียนโดยราชสมาคมเห็นว่าหัวใจสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร
์ คือ การฝึกปฏบัติ (practical science) และกระบวนการสืบค้น(investigative
science)
โครงสร้างทางการศึกษา
โครงสร้างการศึกษาของประเทศอังกฤษ
แบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. ระดับอนุบาล (อายุ 3-4 ปี) ใช้เวลา 2 ปี
2. ระดับการศึกษาภาคบังคับ (อายุ 5-16 ปี) ใช้เวลา 12 ปี
ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมศึกษา
3. ระดับหลังการศึกษาภาคบังคับ (อายุ 16-18 ปี)
ใช้เ้วลาเรียนเต็มเวลา 2 ปี
4. ระดับอุดมศึกษา (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ใช้เวลาเรียนเต็มเวลา 4
ปี
5. การศึกษาตลอดชีวิต (อายุ 21 ปีขึ้นไป) สำหรับผู้ใหญ่
นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรแห่งชาติ(National Curriculum) ที่ใช้สำหรับศึกษาภาคบังคับแบ่งได้เ้็ป็น
4 ขั้นแต่ล่ะขั้น เรียกวา่ Key stage ได้แก่
Key
stage 1 นักเรียนมีอายุ 5-7
ปี
Key stage 2 นักเรียนมีอายุ 7-11 ปี
Key stage 3 นักเรียนมีอายุ 11-14 ปี
Key stage 4 นักเรียนมีอายุ 14-16 ปี
2.
หลักสูตรและรูปแบบการจัดการเรียนการสอนในแต่ละระดับการศึกษา
หลักสูตรแห่งชาติสำหรับการศึกษาภาคบังคับแบ่งเป็นระดับคือ Key stage ได้ 4ระดับ และมีหลักสูตรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
มีแบบแผนที่แยกได้เป็น 4 มิติ คือ
มิติที่1 : ระดับการเรียน ประกอบด้วย Key stage ทั้ง 4
มิติที่2 : เนื้อหา แต่ละ Key stage จะมีเนื้อหาคล้ายกัน แต่ Key
stage ที่สูงกว่าจะมีความซับซ้อนและความละเอียดของหัวข้อมากขึ้น
และขอบเขตเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์มีอยู่ 4 ด้านด้วยกัน คือ
1. การทดลองและการสืบค้นทางวิทยาศาสตร์
2. กระบวนการแห่งชีวิตและสิ่งมีชีวิต
3. วัสดุศาสตร์และสมบัติของวัสดุ
4. กระบวนการเชิงกายภาพ
มิติที่3 : วัตถุประสงค์
ในหลักสูตรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
การเรียนรู้ในแต่ละหัวเรื่องได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ 5ประการคือ
1.การสืบสวนเชิงระบบ คือ นักเรียนต้องได้เห็น ได้ทราบ ได้ทำ
ได้สัมผัส
2.วิทยาศาสตรใ์นชีวิติประจำวันและการประยุกต์ใ์ช้วิิิทยาศาสตร
3.นักเรียนต้องทราบถึงธรรมชาติและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
4.นักเรียนจะต้องมีความสามารถในการสื่อสาร
ถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้ได้
5.สุขภาพและความปลอดภัย
มิติที่4 : เป้าหมายหรือแนวการประเมินนักเรียน มีการกำหนดเป้าหมายเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนซึ่งได้มีการแบ่งระดับ(level) ของเป้าหมายในแต่ละเนื้อหาวิชาไว้ 8
ระดับ แบ่งได้ดังนี้
นักเรียนที่จบการเรียนKey
stage 1 ควรมีความสามารถในระดับ 1-3
นักเรียนที่จบการเรียนใน Key stage 2 ควรมีความสามารถในระดับ 2-5
นักเรียนที่จบการเรียนใน
Key stage 3
ควรมีความสามารถในระดับ 3-7(8)
สำหรับระดับ 8 เป็นส่วนของเด็กที่มีความสามารถสูง ส่วนการประเมินนักเรียนใน Key stage 4 นั้น จะใช้ข้อสอบกลางที่เรียกว่า General Certificate of Secondary Education หรือ GCSE
3. การพัฒนาครูประจำ การและนักศึกษาครูสาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา
การพัฒนาครูประจำการในประเทศอังกฤษอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของแผนกการศึกษาและการจ้างงาน(DfEE)
ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลการพัฒนาครูประจำการร่วมกับ Welsh Office
Education Department แห่งเวลส์ และ Department of Education
for Northern Ireland
ผ่านหน่วยงาน Teacher Training Agency ซึ่งลักษณะของการพัฒนาครูประจำการมีหลายรูปแบบ
ดังนี้
1. การฝึกอบรมขั้นต้น
ภายหลังจากที่ครูได้รับปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์มาแล้วจะต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร
ITT (Initial Teacher
Training) การฝึกอบรมส่วนใหญ่จะเน้นด้านศึกษาศาสตร์และวิชาชีพและได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู
2. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หรือ ICT (Information and Communication Technology) มุ่งเน้นให้ครูพัฒนาตนเองโดยใช้
ICT เป็นหลักเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสอนของครูและสามารถเลือกใช้
ICT ในการสอนของตนตามความเหมาะสมได้โดยมีเครือข่ายแห่งชาติเพื่อการเรียนรู้
(National Grid for Learning: NGFL)
3. ศูนย์ครูเสมือนจริง (VTC : Virtual Teacher Centre) ทำหน้าที่เพื่อนครูช่วยครูสอนวิทยาศาสตร์ผ่านทางไกล โดยเฉพาะซึ่งเรียกว่า โฮมเพจ
มีสาระที่ครูจำเป็นจะต้องทราบให้เลือกศึกษา ทั้งยังมีการเชื่อมโยงกับ Website
อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องที่ครูควรจะต้องทราบด้วย
4. ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
โดยทางมหาวิทยาลัยจะจัดส่งอาจารย์หรือนิสิตบัณฑิตศึกษา
สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษาหรือคณิตศาสตร์ศึกษาไปยังโรงเรียน เพื่อเสนอแนะวิธีการสอน
ติดตามผลของวิธีการสอนช่วยจัดทำ
ชุดการสอนเฉพาะเรื่อง (learning kit) และสนับสนุนวัสดุหลักสูตรต่าง ๆ เป็นต้น
5. การส่งเสริมและดำเนินการโดยองค์กรอื่น ๆ ได้แก่
องค์กรเอกชนต่าง ๆ พิพิธภัณฑ์ สมาคมวิชาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การพัฒนานักศึกษาครูสาขาวิทยาศาสตร์ศึกษาซึ่งมี 2 รูปแบบ กล่าวคือ
นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์
มาแล้วและไปเพิ่มเติมความรู้ทางศึกษาศาสตร์ในภายหลังเพื่อที่จะสามารถเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นที่ยอมรับ
การพัฒนานักศึกษาครุอีกรูปแบบหนึ่ง คือ นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาทางด้านศึกษาศาสตร์จะได้รับการพัฒนาโดยเรียนรายวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ด้วยนอกเหนือไปจากรายวิชาทางด้านศึกษาศาสตร์ซึ่งการผลิตครูสาขาวิทยาศาสตร์ในรูปแบบนี้
เป็นลักษณะเดียวกับรูปแบบการผลิตครูในคณะศึกษาศาสตร์สาขาวิทยาศาสตร์ของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งในประเทศไทย
สำหรับการศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา
จะเป็นการศึกษาไม่เต็มเวลา และไม่มีรายวิชาเรียนแต่จะเน้นงานวิจัยเป็นสำคัญ
และนักศึกษาสามารถเลือกเรียนรายวิชาที่เป็นประโยชน์กับงานวิจัยของตนได้
4.
มาตรฐานการศึกษาและแนวทางการประเมินผลด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา
การฝึกอบรมที่จัดขึ้นในระยะหลังการศึกษาภาคบังคับจะมีองค์กร ในการประเมินประสิทธิภาพของบุคคลภายหลังการฝึกอบรมซึ่งก็คือ
NVQs (National Vocational Qualification) เป็นผู้ประเมินในเรื่องมาตรฐานโรงเรียนจะมีการกำหนดการศึกษาภาคบังคับอยู่ในช่วงอายุ
5-16ปี ในประเทศอังกฤษจำแนกโรงเรียน
ออกเป็น 2 ประเภท คือ โรงเรียนรัฐบาลซึ่งมีจำนวนนักเรียนเข้าเรียนมากถึงร้อยละ
90 โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
ในขณะที่โรงเรียนเอกชนมีนักเรียนเข้าเรียนอยู่ค่อนข้างน้อยคือ ประมาณร้อยละ 7
โรงเรียนรัฐบาลในประเทศอังกฤษยังสามารถจำแนกได้อีกหลายประเภท
ทั้งนี้โดยมีองค์กรการศึกษาท้องถิ่น(LEA : Local Education Authorities) เป็นผู้ดูแลและให้การสนับสนุนเป็น ส่วนใหญ่
สำหรับการประกันคุณภาพทางการศึกษา สำนักงานมาตรฐานทางการศึกษาหรือ
OFSTED (Office for Standards in Education) จะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลตรวจสอบคุณภาพของโรงเรียนทุกๆ 6 เดือน
โดยละเอียดทุกด้าน เช่น ข้อมูลพื้นฐานของ โรงเรียนการบริหาร การเรียนการสอน
เจตคติของนักเรียนต่อโรงเรียน เป็นต้น
ซึ่งผู้ตรวจสอบจะได้พิจารณาถึงข้อดีและข้อบกพร่องของโรงเรียนเพื่อเสนอแนะให้ทางโรงเรียนได้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขภายในเวลา
2 ปี หากไม่มีการแก้ไขใด ๆเกิดขึ้นโรงเรียนอาจจะถูกระงับการสอนได้ในที่สุด
ในส่วนมาตรฐานของครูครูส่วนใหญ่ต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร
ITT (Initial Teacher
Training) ซึ่งจะต้องได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ QTS
(Qualified Teacher Status) นอกจากนี้ยังมีการฝึกอบรมทางไกลผ่านหลักสูตร
ICTและ VTC ให้ครูได้พัฒนาการเรียนการสอนของตนด้วย
ด้านคุณภาพการศึกษาและการประเมินผลก็มีการระบุเป้าประสงค์และมาตรฐานของแต่ละรายวิชาไว้เป็นระดับชั้นคือในแต่ละ
Key Stage
นักเรียนควรจะมีความสามารถในชว่งระดับใดสำหรับการประเมินผลการศึกษาปลายปีนั้นนักเรียนในKey
Stage ที่ 1-3 จะต้องได้รับการประเมินวิชาแกน 3 วิชาหลัก ได้แก่
ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ สำ
หรับ Key Stage ที่ 4 จะต้องทดสอบข้อสอบกลาง (General
Certificate of Secondary Education : GCSE)
5. รูปแบบการให้การศึกษานอกโรงเรียนและการสนับสนุนจากภาคเอกชน
การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์นอกโรงเรียนมีอยู่หลายรูปแบบ
เช่น นิทรรศการ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ห้องสาธิตทางวิทยาศาสตร์ถาวร การแสดงละครวิทยาศาสตร์(Science entertainment) รายการโทรทัศน์ ฯลฯ
นอกจากองค์กรทางด้านการศึกษา และมหาวิทยาลัยแล้ว
ภาคเอกชนยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์นอกโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์สำหรับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
จะปรากฏอยู่ในเมืองหลักทุก ๆ แห่ง และแต่ละพิพิธภัณฑ์ก็จะมีความแตกต่างกันอาจขึ้นอยู่กับที่ตั้งของเมืองประวัติศาสตร์ของเมือง
ส่วนห้องสาธิตถาวรทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นห้องที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้แสดงหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
ในส่วนของการจัดการศึกษา วิทยาศาสตร์นอกโรงเรียนโดยการแสดงละคร(Science
entertainment)
นอกจากนี้ภาคเอกชนยังมีบทบาทสำคัญ
ซึ่งให้การส่งเสริมทั้งด้านการเงินและทางวิชาการในการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อชุมชน
ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาการร่วมจัดนิทรรศการวิทยาศาสตร์ การสร้างชุดการศึกษาสำเร็จรูป เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น